การให้ความหมายภูมิปัญญาชาวบ้านในฐานะกระบวนการดังที่ได้กล่าวแล้วในตอนต้น จะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อการวิเคราะห์ให้เห็นการเติบโตและการพัฒนาของภูมิปัญญาชาวบ้านเข้าสู่ภูมิปัญญาไทย หรือจากระดับชุมชนสู่ระดับชาติ กระบวนการภูมิปัญญา ซึ่งในที่นี้ใช้ในความหมายเดียวกับกระบวนการเรียนรู้ที่ได้เกิดขึ้นแล้วในทุกส่วนของประเทศ กำลังเติบโต และประสานพลังเข้าด้วยกันเพื่อแก้ปัญหาและสร้างความเป็นปึกแผ่นให้แก่ผู้คน ชุมชน และสังคมไทย
นับจากปี พ.ศ.2504 ซึ่งเป็นปีแรกที่ประเทศไทยได้ประกาศใช้แผนพัฒนาเศรษฐกิจแห่งชาติ ฉบับที่ 1 (พ.ศ.2504-2509) เป็นต้นมา รัฐบาลในขณะนั้นได้พยายามผลักดันนโยบายพัฒนาประเทศให้เข้าสู่ความทันสมัย ขณะที่ประชาชนและชุมชนยังไม่พร้อมที่จะเปลี่ยนแปลง ผู้ใหญ่วิบูลย์ เข็มเฉลิม ได้วิเคราะห์สภาพชุมชนและเกษตรกรในยุคนั้นว่า “ แผนพัฒนาเศรษฐกิจฯเกิดขึ้นในภาวะที่ชุมชนและเกษตรกรไม่พร้อมที่จะเปลี่ยนแปลง ไม่ใช่โง่หรือล้าหลัง แต่ไม่รู้จะเปลี่ยนไปทำไม เพราะขณะนั้นชุมชนมีเศรษฐกิจพอเพียง ทรัพยากรธรรมชาติสมบูรณ์ และระบบความสัมพันธ์แบบแบ่งปันทำให้คนในยุคนั้นมีชีวิตไม่เดือดร้อน “ ผู้ใหญ่วิบูลย์ เข็มเฉลิมย้ำว่า คนในภาคเกษตรไม่พร้อม ผมเองก็ไม่พร้อม ไม่สามารถรองรับวิถีชีวิตจากนโยบาย แต่ต้องทำตามสั่งเรื่อยมา อาศัยเทคโนโลยีในการแก้ปัญหา เขาฝึกให้รู้จักขอ สุดท้ายใช้วิธีประท้วง อย่างไรก็ตาม ผลจากการใช้นโยบายของรัฐ ทำให้เกษตรกรและชุมชนต้องรับสิ่งใหม่ๆที่เข้ามาอย่างรวดเร็ว ระยะเวลาเพียงไม่กี่สิบปีหลังจากนั้นระบบการผลิต ความสัมพันธ์ และคุณค่าต่างๆ รวมทั้งทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมของชุมชนได้ถูกทำลายลงจนยากที่จะฟื้นฟูให้ได้ดังเดิม
ในช่วง 20 กว่าปีมานี้ เกษตรกรและชุมชนได้ปรับตัวครั้งใหญ่อีกครั้งหนึ่ง เมื่อพบว่าความสัมพันธ์ใหม่กับภายนอกทำให้ตนเสียเปรียบ การเรียนรู้ใหม่ทำให้เกิดการรวมกลุ่มสร้างองค์กรชุมชนหรือองค์กรชาวบ้านเพื่อจัดความสัมพันธ์ใหม่กับภายนอก จัดการทรัพยากรใหม่ และสร้างระบบเศรษฐกิจใหม่ที่จะทำให้ชุมชนอยู่รอดและยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้คนในสังคมชุมชน
กระบวนการภูมิปัญญาชาวบ้าน เป็นกระบวนการเรียนรู้แบบลองถูกลองผิด หรือทำไปเรียนไป ซึ่งเป็นสิ่งที่พบเห็นได้ทั่วไปในชุมชนจำนวนมาก หัวใจของการเรียนรู้แบบนี้อยู่ที่การปฏิบัติ โดยเฉพาะชุมชนที่ได้พัฒนาการเรียนรู้มาแล้วระดับหนึ่ง และมองไม่เห็นทางออกภายใต้ระบบเศรษฐกิจ การเมือง และสังคมวัฒนธรรมในขณะนั้น ชุมชนต้องการสิ่งใหม่หรือทางเลือกใหม่ ต้องการความรู้ใหม่ เมื่อไม่มีหน่วยงานหรือองค์ใดตอบสนองได้ชุมชนจึงต้องสร้างกิจกรรม เรียนรู้จากกิจกรรม และสรุปประสบการณ์ออกมาเป็นความรู้ใหม่ ระบบการจัดการใหม่ที่จะช่วยให้ชุมชนหลุดพ้นจากการครอบงำของระบบเก่า
ชุมชนไม้เรียง อำเภอฉวาง จังหวัดนครศรีธรรมราช ซึ่งได้เรียนรู้ระบบการผลิตและการจัดการยางพาราใหม่ผ่านประสบการณ์ของกลุ่มเกษตรกรทำสวนไม้เรียง จนไม้เรียงกลายเป็นต้นแบบของอุตสาหกรรมชุมชน เป็นโรงเรียนให้กลุ่มเกษตรกรและชุมชนชาวสวนยางทั่วประเทศได้เรียนรู้และฝึกฝน ที่สำคัญประสบการณ์ชุดนี้ได้กลายเป็นนโยบายในการส่งเสริมและพัฒนายางพาราของรัฐบาลในขณะนั้น ส่งผลให้เกิดโรงงานแปรรูปยางพารากระจายไปทุกจังหวัดที่ปลูกยาง ดังรายละเอียดที่กล่าวแล้วในกรณีศึกษาข้างต้น
ความสำเร็จและประสบการณ์เกี่ยวกับยางพาราในช่วงที่ผ่านมา ชุมชนไม้เรียงค่อนข้างมั่นใจว่าสามารถรับมือหรือจัดการกับปัญหาต่างๆที่จะเกิดขึ้นกับยางพาราได้ในอนาคต
อย่างไรก็ตาม นับจากการก่อตั้งโรงงานแปรรูปยางพาราครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ.2527 จนถึงปี พ.ศ.2537 เป็นเวลา 10 ปีที่การดำเนินงานอุตสาหกรรมชุมชนของไม้เรียงเป็นไปอย่างราบรื่น เต็มไปด้วยความหวัง และอนาคตที่สดใสรออยู่เบื้องหน้า แต่ในปี พ.ศ.2537 เป็นต้นมา ราคายางพาราเริ่มตกต่ำ ผันผวน จนเรียกได้ว่าขาดเสถียรภาพ อันเป็นผลมาจากภาวะตลาดโลกและระบบการจัดการภายในประเทศ ส่งผลให้การดำเนินงานของโรงงานแปรรูปยางพาราต้องประสบปัญหาตลอดมา จนกระทั่งเศรษฐกิจของประเทศต้องประสบกับภาวะวิกฤต
ภาวะวิกฤตเศรษฐกิจในครึ่งหลังของปี พ.ศ.2540 ส่งผลให้ชุมชนต้องปรับการเรียนรู้ใหม่ เพราะบทเรียนที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อเร็วๆนี้แสดงให้เห็นว่ามีปัจจัยหลายอย่างที่ชุมชนไม่อาจควบคุมได้ กระแสโลกาภิวัฒน์ทำให้ประเทศต้องเปิดเสรีทางการค้าและการเงิน ซึ่งเป็นกระบวนการต่อเนื่องจากการเปิดเสรีทางการลงทุนที่ได้ดำเนินการมาก่อนหน้านี้ จะมีส่วนอย่างมากต่อการคงอยู่หรือล่มสลายของชุมชนในอนาคต การเรียนรู้จึงพัฒนาขึ้นอีกก้าวหนึ่งเพื่อให้สอดรับกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนไป นั่นคือการเรียนรู้เพื่อเท่าทันโลกภายนอก
กรณีชุมชนไม้เรียง บทเรียนที่ได้รับจากสถานการณ์ยางพาราในช่วงที่เพิ่งผ่านมาก็คือ ข้อสรุปที่ว่าชุมชนไม่สามารถพึ่งพายางพาราเพียงอย่างเดียว ส่วนทางออกจะเป็นอย่างไรนั้น คำตอบอยู่ที่กระบวนการภูมิปัญญาหรือกระบวนการเรียนรู้ของชุมชน
ศูนย์ศึกษาและพัฒนาชุมชนไม้เรียง เป็นองค์กรชุมชนของตำบลไม้เรียง ตั้งขึ้นเพื่อศึกษาและวางแผนพัฒนาคุณภาพชีวิตของคนในชุมชนนี้ ศูนย์แห่งนี้เริ่มต้นจากการจัดกระบวนการเรียนรู้ให้แก่ผู้นำชุมชนจากหมู่บ้านต่างๆจำนวน 8 หมู่บ้านในตำบลของตน หมู่บ้านละ 5 คน รวม 40 คน โดยกำหนดให้มีเวทีสำหรับการแลกเปลี่ยนรู้ระหว่างผู้นำชุมชนเหล่านี้อย่างน้อยเดือนละ 1 ครั้ง ต่อมาเวทีนี้ได้พัฒนาขึ้นเป็นสภาผู้นำชุมชนไม้เรียงในราวปี พ.ศ.2535 การพบปะกันในแต่ละครั้ง ผู้นำชุมชนจากหมู่บ้านต่างๆจะนำเอาสิ่งที่ตนเองเห็นว่าเป็นปัญหามาพูดคุยกัน นานเข้าการพูดคุยแบบนี้ก็ถึงทางตัน เพราะไม่สามารถแก้ปัญหาหรือหาทางออกได้ เพราะไม่มีใครมีข้อมูลมากพอที่จะวิเคราะห์ลงไปในรายละเอียดของปัญหา
ปัญหาหนึ่งที่สมาชิกของสภาแห่งนี้มักจะหยิบยกมาพูดคุยเป็นประจำ คือชาวบ้านตำบลไม้เรียงมีหนี้สินมาก ซึ่งทุกคนเห็นด้วย แต่เมื่อถามว่าเป็นหนี้มากเท่าไร ก็ไม่มีใครตอบได้ นี่คือที่มาของการปรับเปลี่ยนวิธีการเรียนรู้ของสภาผู้นำชุมชนไม้เรียงในเวลาต่อมา โดยให้ผู้นำชุมชนจากหมู่บ้านต่างๆสำรวจและเก็บข้อมูลหนี้สินของชาวบ้าน และนำข้อมูลที่ได้กลับมาพูดคุยกันในการพบปะกันครั้งต่อไป
การปรับเปลี่ยนวิธีการเรียนรู้ จากการพูดคุย บอกเล่าประสบการณ์มาสู่การเรียนรู้บนฐานข้อมูล ได้ช่วยให้ศูนย์ศึกษาและพัฒนาชุมชนไม้เรียงมองเห็นแนวทางในการวางแผนพัฒนาเพื่อให้ชุมชนของตนหลุดพ้นจากการพึ่งพายางพาราเพียงอย่างเดียว
กระบวนการเรียนรู้ที่อยู่บนฐานข้อมูล ข้อเท็จจริง และนำสิ่งที่ได้จากการเรียนรู้ไปวางแผนพัฒนาและแก้ปัญหาเพื่อให้ชุมชนของตนหลุดพ้นจากการพึ่งพานอกที่ชุมชนไม้เรียงเป็นผู้ริเริ่มและพัฒนาขึ้นนี้ รู้จักกันต่อมาว่า แผนแม่บทชุมชน และกลายเป็นประเด็นหลักของการวางแผนพัฒนาชุมชนในระดับชาติในทุกวันนี้ หน่วยงานของรัฐที่มีหน้าที่ด้านการวางแผนและพัฒนา โดยเฉพาะสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ได้ถือเอาการทำแผนแม่บทชุมชน หรือที่หน่วยงานนี้เรียกว่าแผนชุมชน เป็นภารกิจเร่งด่วนที่ทุกตำบลต้องทำให้เสร็จภายใน 3 ปี แผนแม่บทชุมชน ซึ่งเป็นผลผลิตของกระบวนการภูมิปัญญาชาวบ้านหรือกระบวนการเรียนรู้ที่เริ่มต้นจากชุมชน และพัฒนาขึ้นเป็นกลไกระดับชาติและเป็นความหวังที่จะใช้กลไกตัวนี้เป็นเครื่องมือในการเสริมสร้างความเข้มแข็งและพัฒนาเศรษฐกิจรากหญ้าในสังคมไทย
ชุมชนไม้เรียงได้ให้ความสำคัญต่อการทำแผนแม่บทชุมชนในฐานะกระบวนการเรียนรู้ที่เป้าหมายให้ชุมชนหลุดพ้นจากวิธีคิดแบบพึ่งพารัฐ หรือรอคอยความช่วยเหลือจากภายนอกเพียงอย่างเดียว การที่จะบรรลุเป้าหมายหรือวัตถุประสงค์ที่วางไว้นี้ ชุมชนจึงต้องเรียนรู้เรื่องราวต่างๆของตนเพื่อรู้จักตัวเอง นับตั้งแต่ประวัติความเป็นมา ทรัพยากรธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม ผลผลิต รายได้ รายจ่าย หนี้สิน ทรัพย์สิน ความรู้ ตลอดจนปัญหาและสาเหตุของปัญหาในชุมชน การเรียนรู้สิ่งต่างๆเหล่านี้ล้วนต้องการข้อมูลและข้อเท็จจริง ที่สมาชิกทุกคนต้องช่วยกันเก็บ ช่วยกันวิเคราะห์สังเคราะห์จนเข้าใจและมองเห็นสาเหตุที่แท้จริงของปัญหาและทางแก้
นอกจากการเรียนรู้เพื่อรู้จักตัวเองแล้ว ชุมชนยังต้องเรียนรู้ความเปลี่ยนแปลงของโลก ซึ่งหมายถึงบริบทที่อยู่นอกชุมชนของตน โดยเฉพาะการเรียนรู้วิธีคิด วิธีปฏิบัติ และวิธีให้คุณค่าของชุมชนที่เป็นแบบอย่างที่ดี หรือชุมชนต้นแบบ เป้าหมายของการเรียนรู้นี้อยู่ที่การมองเห็นทิศทางการเปลี่ยนแปลงของสังคมชุมชนและสังคมโลก การเรียนรู้วิธีคิด วิธีปฏิบัติ และวิธีให้คุณค่าจะช่วยให้ชุมชนหลุดพ้นจากการวางแผนพัฒนาแบบลอกเลียน เห็นชุมชนอื่นพัฒนาก็อยากพัฒนาบ้างโดยไม่เข้าใจแก่นแท้หรือความจริงของการพัฒนา
การรู้จักตัวเองและรู้จักโลก ช่วยให้ชุมชนมองเห็นตัวเองในปัจจุบัน และเห็นโลกในอนาคต การประมวลความรู้ในสองส่วนนี้เข้าด้วยกัน จะช่วยให้ชุมชนกำหนดได้ว่าทิศทางของตนควรจะไปในทางใดจึงจะอยู่รอด มั่นคง และมีศักดิ์ศรีของความเป็นคน แผนแม่บทชุมชนก็คือ ทิศทางที่ชุมชนกำหนดขึ้นนี้ หลังจากนั้นการจัดทำแผนงานและโครงการต่างๆเพื่อให้ชุมชนเดินไปในทิศทางที่ต้องการก็จะตามมา และถือเป็นส่วนหนึ่งของแผนแม่บทชุมชน
ดังได้กล่าวแล้วในตอนต้นว่า แผนแม่บทชุมชนเป็นผลผลิตของกระบวนการภูมิปัญญาชาวบ้านหรือกระบวนการเรียนรู้ ด้วยเหตุนี้การจัดทำแผนแม่บทชุมชนชนจึงต้องให้ความสำคัญต่อกระบวนการเรียนรู้และบริหารกระบวนการให้มีประสิทธิภาพ ประสบการณ์ในเรื่องนี้ของชุมชนไม้เรียงช่วยให้สรุปได้ว่า การแลกเปลี่ยนเรียนรู้บนฐานข้อมูลข้อเท็จจริงต้องดำเนินการอย่างต่อเนื่อง ไม่ขาดตอน การบริหารจัดการข้อมูลและการวิเคราะห์ข้อมูลต้องสอดคล้องกับกระบวนการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ และการใช้เครื่องมือที่มีประสิทธิภาพจะทำให้ได้ข้อมูลถูกต้องตามความเป็นจริง เหล่านี้ล้วนเป็นองค์ประกอบสำคัญของกระบวนการภูมิปัญญาชาวบ้านในการจัดทำแผนแม่บทชุมชน
ความสำเร็จของตำบลไม้เรียงในการจัดทำแผนแม่บทชุมชน การวิเคราะห์และสังเคราะห์ความรู้จากข้อมูลและข้อเท็จจริงนำไปสู่การเสนอแนวคิดวิสาหกิจชุมชน ซึ่งหมายถึงการประกอบการที่ตั้งอยู่บนฐานทุน ความรู้ ทรัพยากรธรรมชาติ และผลผลิตของชุมชนอย่างสร้างสรรค์ เป็นระบบ ครบวงจร และแนวคิดนี้เองที่ส่งผลให้ชุมชนไม้เรียงได้นำเอาปัจจัยดังกล่าวข้างต้นมาสร้างผลิตภัณฑ์ที่มีเป้าหมายเพื่อกินเพื่อใช้ในชุมชนเป็นอันดับแรก ซึ่งจะช่วยลดการนำเข้าสินค้าจากภายนอก และลดการไหลออกของเงิน จนชุมชนไม้เรียงก้าวเข้าสู่ 8 ชุมชน 8 ผลิตภัณฑ์
นอกจากการนำเสนอแนวคิดเรื่องแผนแม่บทชุมชนแล้ว แนวคิดเรื่องวิสาหกิจชุมชนส่วนใหญ่ก็ได้รับการพัฒนาที่ชุมชนไม้เรียง จนกระทั่งสามารถพิสูจน์ได้ว่าวิสาหกิจชุมชนเป็นการประกอบการที่มีปรัชญา แนวคิด และการจัดการหรือความสัมพันธ์แบบหนึ่งที่ต่างไปจากเศรษฐกิจกระแสหลักหรือทุนนิยม ต่างจากวิสาหกิจขนาดกลางและย่อม หรือ SMEs ซึ่งเป็นการย่อส่วนทุนนิยมเข้าสู่ชุมชน ไม่มีเอกลักษณ์หรือชุดความรู้ของตนเองที่จะพิสูจน์ให้เห็นความต่างจากเศรษฐกิจกระแสหลักนอกจากขนาดที่ไม่เท่ากันกัน
ถึงวันนี้ วิสาหกิจชุมชนไม่เพียงจะเป็นนโยบายของรัฐบาลในการเสริมสร้างความเข้มแข็งของเศรษฐกิจและสังคมชุมชนเท่านั้น แต่แนวคิดเหล่านี้ได้กลายเป็นร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมวิสาหกิจชุมชน พ.ศ………. ที่คณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบ และผ่านการพิจารณาในวาระที่ 1 ของสภาผู้แทนราษฎรแล้ว
ที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ แสดงให้เห็นศักยภาพของภูมิปัญญาชาวบ้าน ถ้าได้รับการส่งเสริมและพัฒนาให้ถูกทางก็จะแสดงพลังออกมาแก้ปัญหาให้ชุมชนและสังคมได้ในที่สุด
9 บทบาทของภูมิปัญญาชาวบ้านกับการพัฒนาชุมชนและสังคมไทย
9.1 ภูมิปัญญาชาวบ้านกับการพัฒนาชุมชน ในช่วง 20 กว่าปีที่ผ่านมานี้ ภูมิปัญญาชาวบ้านได้เข้ามามีบทบาทอย่างมากต่อการพัฒนาชุมชน โดยเฉพาะชุมชนชนบท ซึ่งได้รับผลกระทบอย่างมากจากการพัฒนาประเทศในช่วงที่ผ่านมา สามารถสรุปได้ดังนี้
1) ภูมิปัญญาชาวบ้านก่อให้เกิดการประยุกต์วัฒนธรรมชุมชนเพื่อการพัฒนาชนบท จุดเด่นอย่างหนึ่งของภูมิปัญญาชาวบ้านคือ การให้ความสำคัญต่อคุณค่าซึ่งเป็นนามธรรม ไม่ยึดติดกับรูปแบบ ส่งผลให้ภูมิปัญญาชาวบ้านมีความยืดหยุ่นสูง สามารถปรับตัวได้ตามสถานการณ์หรือสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนไป ผู้คนและชุมชนในชนบทจึงได้นำจุดเด่นนี้มาประยุกต์วัฒนธรรมชุมชน โดยเฉพาะการประยุกต์ประเพณี-พิธีกรรมต่างๆ เช่น การสืบชะตาแม่น้ำ การบวชป่า และผ้าป่าพันธุ์ไม้ เป็นต้น การประยุกต์ประเพณี-พิธีกรรมเหล่านี้ช่วยให้ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมของชุมชนค่อยๆฟื้นตัวขึ้น และก่อให้เกิดความสัมพันธ์ใหม่ระหว่างคนกับธรรมชาติ เป็นความสัมพันธ์ที่เกื้อกูลกัน ไม่ใช่การควบคุมหรือเอาชนะธรรมชาติอย่างที่ผ่านมา
2) ภูมิปัญญาชาวบ้านก่อให้เกิดกลไกใหม่ทางสังคมวัฒนธรรม แม้ว่าการพัฒนาประเทศในช่วงที่ผ่านมาได้ก่อให้เกิดความเจริญทางวัตถุมากมาย ทำให้ประชาชนได้รับความสะดวกสบายมากขึ้น แต่อีกด้านของความก้าวหน้านี้กลับส่งผลให้ผู้คนและชุมชนถูกตัดออกจากกัน
สังคมชุมชนในปัจจุบัน ความสัมพันธ์ทางเครือญาติ และการพึ่งพาอาศัยกันอย่างในอดีต หรือการช่วยเหลือกันโดยตรงแบบให้พี่ปันน้อง ซึ่งเป็นกลไกทางสังคมวัฒนธรรมแบบดั้งเดิมได้คลายพลังลงไปมากแล้ว ชุมชนจึงได้สร้าง กลุ่มหรือองค์กรชุมชน ซึ่งเป็นกลไกใหม่ที่ช่วยให้คนในชุมชนหันกลับมาพึ่งพาอาศัยกันอีกครั้งหนึ่ง
กลุ่มออมทรัพย์ ธนาคารหมู่บ้าน และองค์กรการเงินชุมชนที่เรียกชื่ออื่น เป็นตัวอย่างที่แสดงให้เห็นลักษณะที่กล่าวข้างต้นได้เป็นอย่างดี องค์กรการเงินเหล่านี้จะเกิดขึ้นในสถานการณ์ที่ชุมชนประสบกับปัญหาเงินทุนและภาวะหนี้สิน ชาวบ้านในชุมชนจะไม่มีทางออกในเรื่องนี้ ไม่สามารถหยิบยืมเงินทองจากญาติพี่น้อง เพราะทุกคนต่างตกอยู่ในภาวะเดียวกัน การรวมตัวเป็นกลุ่มออมทรัพย์ ธนาคารชุมชน และองค์กรการเงินในชื่ออื่นก็จะเกิดขึ้น สมาชิกของกลุ่มนำเงินคนละเล็กคนละน้อยมาฝากไว้ร่วมกัน กลุ่มจะทำหน้าที่จัดการเงินหรือทรัพยากรดังกล่าว ให้สมาชิกที่มีความจำเป็นเร่งด่วนได้กู้ยืมนำไปแก้ปัญหาที่เผชิญในขณะนั้น กลุ่มหรือองค์กรการเงินเหล่านี้จึงมีฐานะเป็นกลไกใหม่ทางสังคมวัฒนธรรมที่ช่วยให้คุณค่าเดิมของสังคมชุมชน คือการพึ่งพาอาศัยกันได้กลับมามีบทบาทในสังคมปัจจุบัน และยังช่วยให้ญาติพี่น้องในชุมชนได้หันมาใกล้ชิดกันอีกครั้งหนึ่ง
นอกจากตัวอย่างข้างต้นแล้ว ยังมีกลุ่มและองค์กรชาวบ้านหรือองค์กรชุมชนอีกจำนวนมากที่เกิดขึ้นและได้รับการพัฒนาโดยกระบวนการภูมิปัญญาชาวบ้าน เช่น ธนาคารข้าว ธนาคารโค-กระบือ และกลุ่มแลกเปลี่ยนแรงงาน เป็นต้น เหล่านี้ต่างทำหน้าที่เช่นเดียวกับองค์กรการเงินที่กล่าวข้างต้น
การพึ่งพาอาศัยกันผ่านองค์กรจัดการใหม่ไม่ได้จำกัดเฉพาะในชุมชนเท่านั้น แต่ความสัมพันธ์เชิงแลกเปลี่ยนและพึ่งพานี้ได้พัฒนาเป็น เครือข่ายองค์กรชุมชน ช่วยผู้คนต่างหมู่บ้าน ต่างเขตการปกครองที่มีความสนใจร่วมกันได้พึ่งพาอาศัยกัน
กลุ่มหรือองค์กรชุมชนและเครือข่าย นับเป็นกลไกใหม่ทางสังคมวัฒนธรรมที่เป็นทั้งผลผลิตและกระบวนการของภูมิปัญญาชาวบ้าน และเป็นกลไกที่มีความสำคัญอย่างยิ่งในการพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้คนและชุมชนในปัจจุบัน
3) ภูมิปัญญาชาวบ้านก่อให้เกิดการสร้างสรรค์สถาบันของชุมชน พัฒนาการของภูมิปัญญาชาวบ้านในช่วง 20 กว่าปีมานี้ ได้ส่งผลต่อการสร้างสรรค์สถาบันใหม่ของชุมชน ที่สำคัญมีดังนี้
สถาบันการเรียนรู้ ในช่วงที่ชุมชนต้องเผชิญกับปัญหาการพัฒนาและหมดหนทางแก้ไข ชาวบ้านจำนวนหนึ่งที่ไม่ยอมแพ้ต่อโชคชะตาได้พยายามแสวงหาทางออก โดยการรวมตัวเพื่อการเรียนรู้และถ่ายทอดประสบการณ์ระหว่างกัน เกิดเครือข่ายการเรียนรู้ขึ้นในชุมชนต่างๆ บางชุมชนสามารถรักษาและพัฒนาความสัมพันธ์นี้ให้ต่อเนื่องและมั่นคงจนมีภาวะเป็นสถาบัน
ผลการศึกษาชุมชนทั่วทุกภาคของประเทศพบว่า สถาบันการเรียนรู้ของชุมชน ซึ่งอาจเรียกชื่อต่างกัน เช่น มหาวิทยาลัยชาวบ้าน มหาวิทยาลัยธรรมชาติ ศูนย์ศึกษาและพัฒนา สมาคม ชมรม และเครือข่าย เป็นต้น ต่างนำลักษณะทางสังคมวัฒนธรรมชุมชนมาเป็นแนวทาง การเรียนรู้จึงเป็นธรรมชาติ ง่าย และตรงต่อความต้องการของชาวบ้าน โดยมีผู้นำ ผู้รู้หรือปราชญ์ชาวบ้านทำหน้าที่ถ่ายทอดแนวคิด ความรู้ หรือชุดประสบการณ์ให้แก่ผู้สนใจนำไปปรับใช้ให้สอดคล้องกับวิถีชีวิต
ความรู้หรือชุดประสบการณ์ของชุมชนไม่ใช่ความรู้ทางเทคนิคเพียงอย่างเดียว แต่จะประกอบด้วยส่วนที่เป็นคุณค่า ศีลธรรม และจริยธรรม หรือเป็นความรู้แบบองค์รวม และการถ่ายทอดก็มิได้แยกออกเป็นส่วน ผู้เรียนจึงต้องเรียนรู้วิถีชีวิตทั้งหมดจากเจ้าของประสบการณ์ หัวใจของการเรียนรู้นี้อยู่ที่การปฏิบัติ จึงเกิดการหนุนช่วยและการไปมาหาสู่กันระหว่างผู้ถ่ายทอดความรู้และผู้เรียน
สถาบันทุนของชุมชน ทุนเป็นปัจจัยสำคัญในการดำรงชีวิตและการผลิตของชุมชน ทั้งนี้เพราะทุนในความหมายของชุมชนนั้นค่อนข้างกว้าง ประกอบด้วย ทุนเงินตรา ทุนสังคมวัฒนธรรม ทุนทรัพยากรธรรมชาติ และทุนโภคทรัพย์ ชุมชนต่างๆได้ใช้ภูมิปัญญาจัดการทุนเหล่านี้ให้รับใช้และสร้างความมั่นคงในชีวิต เห็นได้จากชุมชนจำนวนมากใช้ภูมิปัญญาที่มีอยู่พัฒนาสถาบันทุนของชุมชนในรูปแบบต่างๆ เช่น กองทุนวัว ธนาคารข้าว กองทุนพืชพื้นบ้าน และกลุ่มออมทรัพย์ เป็นต้น
พัฒนาการของสถาบันทุนของชุมชน เกิดขึ้นควบคู่กับกระบวนการเรียนรู้และสถาบันการเรียนรู้ของชุมชน มีความหลาหลาย รูปแบบการบริหารจัดการสถาบันทุนของชุมชนในแต่ละแห่งจะมีความสัมพันธ์กับพื้นฐานทางเศรษฐกิจ และสังคมวัฒนธรรมของตน ทำให้มีความยืดหยุ่นสูง และตอบสนองความต้องการของชุมชนได้มากกว่าสถาบันทางเศรษฐกิจจากภายนอก
4) ภูมิปัญญาชาวบ้านก่อให้เกิดความเป็นปึกแผ่นของสังคมชุมชน การพัฒนาประเทศตามแนวคิดเดิมได้ก่อให้เกิดความแตกแยกขึ้นในชุมชน ยิ่งความเจริญทางด้านวัตถุมีมากเท่าใด ผู้คนก็จะถูกตัดขาดจากกันทางสังคมมากเท่านั้น การปรากฏตัวของภูมิปัญญาชาวบ้านได้ฉุดดึงให้ผู้คนที่แยกจากกันนี้ให้หันหน้าเข้าหากันอีกครั้งหนึ่ง
เห็นได้ว่าบทบาทของภูมิปัญญาชาวบ้านทั้งในด้านการประยุกต์วัฒนธรรมชุมชนเพื่อการพัฒนา การสร้างกลไกลใหม่ทางสังคมวัฒนธรรม และการสร้างสรรค์สถาบันของชุมชนดังที่ได้กล่าวข้างต้น ต่างมีส่วนอย่างมากต่อการสร้างเป็นปึกแผ่นให้สังคมชุมชน กระทั่งในช่วงวิกฤตเศรษฐกิจที่เพิ่งผ่านมา ประชาชนจำนวนมากที่ประสบปัญหาเศรษฐกิจในภาคเมืองต่างคืนสู่ชนบทหรือภาคเกษตร ซึ่งชุมชนได้พิสูจน์ให้เห็นว่าสามารถรองรับคนเหล่านี้ไว้ได้ ปัญหาทางสังคมที่เป็นผลมาจากวิกตเศรษฐกิจที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในสังคมไทยจึงไม่รุนแรง เมื่อเทียบกับกลุ่มประเทศทางอเมริการใต้หรือละตินอเมริการที่ประสบปัญหาเดียวกันไทย
5) ภูมิปัญญาชาวบ้านเป็นรากฐานทางการผลิต และเสริมสร้างเศรษฐกิจของชุมชนและสังคมไทย ภูมิปัญญาชาวบ้านในฐานะความรู้หรือเทคโนโลยีในด้านต่างๆ ทั้งการเกษตร การแปรรูป การจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม การจัดการทุน และการตลาด และภูมิปัญญาชาวบ้านในฐานะกระบวนการหรือการเรียนรู้ ล้วนเป็นพื้นฐานการผลิต เสริมสร้างรายได้ และการมีงานทำของคนในชุมชน
วิสาหกิจชุมชน ซึ่งเป็นรูปแบบหนึ่งของเศรษฐกิจชุมชนที่ชุมชนได้ช่วยกันพัฒนาขึ้น จะมีบทบาทสำคัญในด้านการผลิตสินค้าทดแทนการซื้อหาจากภายนอกการเพิ่มมูลค่าให้ผลผลิต และทรัพยากรธรรมชาติ รวมทั้งการบริการต่างๆในชุมชน เป้าหมายอยู่ที่การพึ่งตนเองของครอบครัว ความพอเพียงของชุมชน และการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่มีศักยภาพออกสู่ภายนอก
หนึ่งตำบล หนึ่งผลิตภัณฑ์ หรือ OTOP ที่กำลังได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลในขณะนี้ เกือบทั้งหมดพัฒนาขึ้นจากฐานภูมิปัญญาชาวบ้าน และได้รับการพิสูจน์ว่ามีศักยภาพสูงในทางเศรษฐกิจ สามารถทำรายได้ให้แก่ประเทศเกือบแสนล้านบาทต่อปี
ในระยะยาว การพัฒนาเศรษฐกิจชุมชนจะช่วยให้เกิดการเชื่อมต่อระหว่างวิสาหกิจชุมชนและหนึ่งตำบล หนึ่งผลิตภัณฑ์มากขึ้น โดยผลิตภัณฑ์ที่มีศักยภาพของวิสาหกิจชุมชนจะได้รับการพัฒนาเป็นหนึ่งตำบล หนึ่งผลิตภัณฑ์ ออกสู่การแข่งขันในระดับสูงขึ้น การแข่งขันในลักษณะนี้จะไม่ก่อให้เกิดผลกระทบต่อชาวบ้านและชุมชน เพราะเป็นการแข่งขันบนศักยภาพหรือในจุดที่สามารถแข่งขันได้ ในทางตรงข้ามการแข่งขันในลักษณะนี้จะก่อให้เกิดการพัฒนาศักยภาพของชุมชนและสังคมไทยออกไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด